วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สัมพหุลสูตร ว่าด้วยมารกวนภิกษุ


[๔๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่นครศิลาวดี ในแคว้นสักกะ.
ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกัน เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตั้งใจมั่น
อยู่ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า.

[๔๗๙] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเนรมิตเพศเป็นพราหมณ์มุ่นชฎาใหญ่ นุ่งหนังเสือ
แก่ หลังโกง หายใจเสียงดังครืดคราด ถือไม้เท้าทำด้วยไม้มะเดื่อ
เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า
ท่านบรรพชิตผู้เจริญทั้งหลายล้วนแต่เป็นคนหนุ่มกระชุ่มกระชวย มีผมดำ
ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ยังอยู่ในปฐมวัย ไม่เบื่อในกามารมณ์ทั้งหลาย
ขอท่านจงบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์ อย่าละกามอันเห็นเฉพาะหน้า
วิ่งไปหากามทิพย์อันจะมีมาตามกาลเลย.

ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า พราหมณ์ พวกเราย่อมไม่ละกามอันเห็นเฉพาะหน้า
วิ่งไปหากามทิพย์อันจะมีมาตามกาล
แต่เราทั้งหลายละกามทิพย์อันจะมีมาตามกาล วิ่งไปสู่หาธรรมอันเห็นเฉพาะหน้า
พราหมณ์ เพราะว่ากามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นของชั่วคราว
มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายมีมากยิ่ง
ธรรมนี้มีผลอันเห็นเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นของควรเรียกกันมาดู ควรน้อมมาไว้ในตน
อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน.
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มารผู้มีบาปจึงสั่นศีรษะ แลบลิ้น
ทำหน้าขมวดเป็นสามรอย จดจ้องไม้เท้าหลีกไป.

[๔๘๐] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร
ภิกษุเหล่านั้นครั้นนั่งแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญความเพียร ตั้งใจมั่น
อยู่ในที่ใกล้พระองค์ ณ ที่นี้พระเจ้าข้า มีพราหมณ์คนหนึ่ง มุ่นชฎาใหญ่ นุ่งหนังเสือ
เป็นคนแก่หลังโกง หายใจเสียงดังครืดคราด ถือไม้เท้าทำด้วยไม้มะเดื่อ
เข้าไปหาข้าพระองค์ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า
ท่านบรรพชิตผู้เจริญทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มกระชุ่มกระชวย มีผมดำ
ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ยังอยู่ในปฐมวัย ไม่เบื่อในกามารมณ์ทั้งหลาย
ขอท่านจงบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์ อย่าละกามอันเห็นเฉพาะหน้า
วิ่งไปหากามทิพย์อันจะมีมาตามกาลเลย พระเจ้าข้า
เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พวกข้าพระองค์ได้กล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า
พราหมณ์ พวกเราย่อมไม่ละกามอันเห็นเฉพาะหน้า
วิ่งไปหากามทิพย์อันจะมีมาตามกาล
แต่พวกเราละกามทิพย์อันจะมีมาตามกาล วิ่งไปสู่หาธรรมอันเห็นเฉพาะหน้า
พราหมณ์ เพราะกามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นของชั่วคราว
มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายมีมากยิ่ง
ธรรมนี้มีผลอันเห็นเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นของควรเรียกมาดู ควรน้อมไว้ในตน
อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตน พระเจ้าข้า
เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์นั้นสั่นศีรษะ แลบลิ้น
ทำหน้าขมวดเป็นสามรอย จดจ้องไม้เท้าหลีกไป.

[๔๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย นั้นมิใช่พราหมณ์
นั้นเป็นมารผู้มีบาป มาเพื่อประสงค์จะทำปัญญาจักษุของพวกเธอให้พินาศ.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงภาษิตพระคาถานี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดได้เห็นทุกข์มีกามเป็นเหตุแล้ว
ไฉนผู้นั้นจะพึงน้อมใจไปในกามเล่า
บุคคลผู้ทราบอุปธิ (กามคุณ ๕) ว่าเป็นเครื่องข้องอยู่ในโลกแล้ว
พึงศึกษาเพื่อกำจัดอุปธินั้นเสีย.

……………………………………

สัมพหุลสูตร จบ   กลุ่มไตรปิฎกสิกขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น