ท้าววิรุฬหก
(บาลี: Viruḷhaka;
สันสกฤต: विरूढक) หนึ่งในสี่ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ซึ่งเป็นชั้นล่างสุดในฉกามาพจรเป็นเทพเจ้าผู้ปกครองทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ
ซึ่งเป็นใหญ่ในหมู่หมู่ครุฑมีเทพกลุ่มกุมภัณฑ์เป็นบริวาร
มีรูปร่างท้องป่องพุ่งใหญ่ ขาสั้น กำยำล่ำสัน ตามความเชื่อบางคติจะพบได้ว่าท้าววิรุฬหกคือผู้ปกครองครุฑและนก
ท้าววิรุฬหกปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิการ่วมกับ
1.ท้าวเวสสุวรรณซึ่งปกครองหมู่ยักษ์บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
2.ท้าวธตรฐซึ่งปกครองหมู่คนธรรพ์บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
3.ท้าววิรูปักษ์ซึ่งปกครองหมู่นาคบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ในมหาสมัยสูตรและบทภาณยักษ์ว่า
โลกบาลแห่งทิศทักษิณทรงพระนามท้าววิรุฬหกมหาราช จอมกุมภัณฑ์
ส่วนในอาฏานาฏิยปริตรว่าเป็นจอมเทวดา ลัทธิข้างจีนฝ่ายมหายานว่า
ทรงพระนามเตียงเชียง แปลว่า สง่างาม มือถือร่ม ทางทิเบตว่าถือกระบี่
ท้าววิรุฬหกมหาราช(Virudhaka)
หรือ เจิงจ่างเทียนหวาง
(增长天王) หมายถึง
มหาราชาผู้พิทักษ์ปกป้องพระธรรม นามเดิมของท่านคือ ผีหลิวหลี(批琉璃)
หรือบ้างเรียกในชื่ออสูรว่า หมอลี่ชิง(魔礼青)
ภายหลังจากที่ท้าววิรุฬหกมหาราชได้ปวารณาตัวเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ได้ทรงหมายหน้าที่ให้ท่านมีหน้าที่ในการคุ้มครองพระธรรมคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาให้ปลอดภัย
รวมทั้งให้พระธรรมขจรไกลไปสู่ดินแดนต่าง ๆ อย่างกว้างไกล
โดยท้าววิรุฬหกมหาราชได้ปกครองประจำตำแหน่งทักษิณ(ทิศใต้) ของเขาซวีหมีซาน
(เขาพระสุเมรุ) บนผืนแผ่นดินแห่งกระจก
ลักษณะของท้าววิรุฬหกมหาราชนั้น
แต่งกายด้วยชุดนักรบสวมชุดเกราะดั่งแม่ทัพใหญ่
มีพระพักตร์สีเขียวเข้ม(บ้างว่าเป็นสีน้ำเงิน)
พระหัตถ์ทรงถือไว้ด้วยกระบี่วิเศษที่มีสีเขียวคราม เรียกกันว่า ชิงเฟิงเป่าเจี้ยน
(青峰宝剑) กระบี่เล่มนี้มีความแหลมคมดั่งสิ่งวิเศษ
ตัดฟันสิ่งใดล้วนขาดสบั้น บ้างก็กล่าวว่าท้าววุรุฬหกมหาราชมีมหามนตรา
จึงสามารถใช้เวทมนต์ให้บังเกิดเป็นเปลวไฟที่มีพลังอำนาจอันร้ายแรง
และกระบี่วิเศษของท่านนั้น ยามใดที่สะบัดออกก็จะบังเกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ
ดังนั้น
ความแหลมคมของตัวกระบี่ชิงเฟิงเป่าเจี้ยนได้เป็นที่มาของความหมายประจำตัวท่าน
เพราะคำว่า "เฟิง"(锋) ที่มาจากชื่อกระบี่
ออกเสียงเหมือนกับคำว่า "เฟิง"(风)
ที่แปลว่า ลม
อีกทั้งลักษณะของกระบี่เมื่อยามสะบัดออกจะบังเกิดเป็นลมพายุขนาดใหญ่
จึงมีความหมายว่า "เฟิง" (风)
เช่นกัน ในอักษรมงคลคำว่า เฟิงเถียวอวี่ซุ่น (风调雨顺)
ที่หมายถึง สะดวกราบรื่นและสำเร็จดั่งใจหมายนั้น อักษร
"เฟิง"(风) ในที่นี้จึงหมายถึง
ท้าววิรุฬหกมหาราช (เจิงจ่างเทียนหวาง)
ตำนานเกี่ยวกับท้าววิรุฬหกมหาราช
มีปรากฏในเทพนิยายอิงพงศาวดารเรื่อง เฟิงเสินเอี่ยนอี้
(พงศาวดารประกาศิตสวรรค์ตั้งเทพเจ้า) และเรื่อง ไซอิ๋ว
(บันทึกท่องตะวันตก)เช่นเดียวกับท้าวจตุโลกบาลองค์อื่น ๆ
ท่านท้าววิรุฬหก
ท่านเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็น กุมภัณฑ์
"กุมภะ"แปลว่า
"หม้อ"ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกับพ้อมใส่ข้าว ผิวดำปี๋
พุงก็ปลิ้น คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูนๆ
ตาใหญ่มาก สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว
แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก
………………………..
หลวงพ่อ พบ ท้าววิรุฬหก
ท่านมาบอกอาตมาว่า
ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน
เป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่มีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน
ท่านบอกท่านเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน
เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาความรัก
กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น
นอกจากนั้นท่านมีความต้องการหนังเหนียวยิงไม่ออก แคล้วคลาดจากอาวุธ
และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและเป็นฆราวาสก็มี
ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด
ท่านต้องมีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน
และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์
หลังจากนั้นต้องทำจิตให้มั่นคงโดยภาวนาให้จิตทรงตัว ก็คือ
จิตเป็นสมาธินั่นเองถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพที่ต้องการก็จะมีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็มีอานุภาพตํ่า
การท่องคาถาอาคม การปลุกตัว การปลุกของ ต้องทำทุกวันเพื่อความมั่นคง
จิตต้องเข้าถึงฌานสมาบัติ แต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าฌานตาย
เมื่อตายแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ต่อมาก็ขึ้นเป็น
เทวดาชั้นอินทกะ (คำว่า "อินทกะ"แปลว่า
"ผู้เป็นใหญ่"คือเป็นรองท่านท้าวมหาราช อินทกะนี้มีได้ทิศละพันองค์
พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ตามความสามารถและวาสนาบารมี
ในเมื่อท่านท้าวมหาราชไปจากชั้นนี้
คือจากชั้นจาตุมหาราชไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือว่าไปเป็นพรหมบ้าง หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม)
จากอินทกะท่านก็เป็นท้าวมหาราช คือท่านท้าววิรุฬหกในปัจจุบันนี้
...............
เทพประจำทิศทั้ง4
1.ท้าวธตรฐ
เทพประจำทิศบูรพาหรือทิศตะวันออก
เทพนครอันสวยสดงดงาม ซึ่งตั้งอยู่
ณ. ทิศบูรพา คือ ทิศตะวันออกแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ มีเทวาผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า ท้าวธตรฐมหาราช เป็นจอมเทพผู้ปกครอง ท้าวเธอเป็นมหาราช มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมีมาก
เทวาที่อุบัติเป็นบุตรของพระองค์มีมากมาย
ล้วนแต่มีกำลังมาก มีฤทธิ์มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ เป็นอันมาก พระองค์ทรงเป็นอธิบดีเป็นใหญ่ ทรงปกครองทวยเทพเทวา ในเทพนครด้านทิศบูรพา ณ. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ โดยธรรม ซึ่งเป็นผลให้เทวดาทั้งหลาย
ได้รับความสุขสำราญทุกวันคืน
นอกจากจะทรงเป็นจอมเทพปกครองเทพบริวารใน เทพนครทิศบูรพา ดังกล่าวแล้ว ท้าวธตรฐมหาราช ยังทรงเป็นอธิบดีปกครองหมู่คนธรรพ์อีกด้วย คนธรรมพ์เป็นเทวาพวกหนึ่ง
ซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้
มีความถนัดในการดนตรี ศิลปะ ระบำรำฟ้อน และ ชำนาญในเพลงขับ เป็นยิ่งนัก
มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในหมู่เทวดาทั้งหลายไม่ว่าจะมีเทวสันนิบาต
การประชุมเพื่อความสนุกสนาน เบิกบานของเหล่าเทพเทาทั้งหลาย ในที่ใด
ย่อมจะมีฝูงคนธรรพ์ทั้งหลายไปร่วมด้วย
โดยทำหน้าที่เป็นผู้ขับกล่อม และ จับระบำรำฟ้อน ให้ปวงเทพได้รับความสุข
เริงสราญ ชื่นบานในการดนตรี
บางทีก็มีเทพนารี เข้าร่วมด้วย
เป็นการเพิ่มความสนุกสนาน ให้เกิดแก่เหล่าเทวดามากยิ่งขึ้น แม้แต่องค์อมรินทร์ท้าวสักกเทวราช
ซึ่งเป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์
ก็ยังทรงมีพระทัยโปรดปราน
ตรัสสั่งให้หมู่คนธรรพ์ ไปร่วมงานเทวสันนิบาท เช่นนี้เสมอมา มิได้ขาด
2.ท้าววิรูปักษ์ เทพประจำทิศปัจจิมหรือทิศตะวันตก
เทพนครที่ปรากฏในทิศตะวันตกของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานี้ ก็มีลักษณะและความสวยสดงดงาม
เช่นเดียวกับเทพนครที่ตั้งอยู่ในทิศอื่น ๆ
เทวาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งครองเทพนครนี้ ทรงพระนามว่า
ท้าววิรุปักษ์มหาราช
พระองค์ทรงมีบุญญานุภาพมาก รัศมีสดใส มียศเป็นอันมาก เทพยดาที่อุบัติบังเกิดเป็นบุตรของพระองค์ก็มีมากมาย ต่างก็ล้วนมีกำลัง มีฤทธิ์มากทั้งนั้น พระองค์เป็นจอมเทพปกครองเทพบริวาร ในด้านทิศตะวันตก แห่งจาตุมหาราชิกาภูมินี้ โดยผาสุกทุกทิพาราตรี
ท้าววิรูปักษ์มหาราชพระองค์นี้
นอกจากจะเป็นจอมเทพปกครองทวยเทวา ผู้เป็นบริวารของตนในเทพนครด้านปัจฉิมทิศแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นอธิบดีของพวกนาคอีกด้วย พวกนาคนี้มีฤทธิ์มาก พิษแห่งนาคทั้งหลายมีฤทธิ์กล้า อาจตัดเอาผิวหน้าแห่งบุคคล ให้ถึงแก่ความตายในพริบตา เหมือนกับคมดาบ และ
เหล่านาคย่อมรู้จักนฤมิตตนได้
เมื่อจะเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ บางคราว ย่อมนฤมิตตนเป็นงู บางคราวก็เป็นเพศเทวดา บางคราวก็นฤมิตเพศเป็นกระแต เที่ยวไปในราวไพรโดยสุขสำราญ
3.ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวัน เทพประจำทิศอุดร
หรือทิศเหนือ
เทพนครอันรุ่งเรืองสวยงาม
ซึ่งปรากฏในด้านทิศอุดร คือ ทิศเหนือ ของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ มีเทวาผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า ท้าวเวสสุวัณ
เป็นจอมเทพผู้ปกครอง
ท้าวเธอเป็นมหาราช
มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมีมาก
มียศมาก
แม้เทวดาที่อุบัติเกิดเป็นบุตรของพระองค์ก็มีมาก แต่ละพระองค์ล้วนแต่มีกำลัง มีฤทธิ์ มีรัศมี มีอานุภาพมาก ท้าวเวสสุวัณทรงเป็นจอมเทพ ปกครองหมู่เทวาที่เป็นบริวารของตน
อยู่ในเทพนครด้านทิศอุดร แห่งจาตุมหาราชิกาสวรรค์นี้ โดยสุขสำราญ ท้าวมหาราชองค์นี้ ยังมีพระนามปรากฏอีกนามหนึ่งว่า ท้าวกุเวร
ฉะนั้น พึงทราบว่า ท้าวเวสสุวัณ
หรือ ท้าวกุเวร เป็นเทพองค์เดียวกัน คือ ท่านที่ปกครองเทพนครด้านทิศอุดร พระองค์ยังทรงเป็นอธิบดีปกครองพวกยักษ์อีกด้วย
4.ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าแห่งทิศทักษิณ
หรือทิศใต้
เทพนครอันรุ่งเรืองไปด้วยรัศมีแห่งทวยเทพ
สวยสดสุดพรรณนา
ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ด้านทักษิณ
คือ ทิศใต้
มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า
ท้าววิรุฬหามหาราช
เป็นจอมเทพผู้ปกครอง
พระองค์ทรงเป็นมหาราช มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมี มียศเป็นอันมาก เทพยดาที่อุบัติเกิดเป็นบุตรของพระองค์
ก็มีมากมาย ล้วนแต่มีกำลัง มีฤทธิ์มาก ทั้งนี้ก็เพราะ พระองค์เป็นจอมเทพ
ผู้มีบุญญาธิการ ทรงปกครองบริวาร ในด้านทักษิณ แห่งจาตุมหาราชิกาสวรรค์
นี้โดยผาสุก
ท้าววิรุฬหกมหาราช
พระองค์นี้
นอกจากจะเป็นจอมเทพปกครองทวยเทพ ผู้เป็นบริวารของตน ในเทพนครด้านทิศทักษิณแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นอธิบดีของพวก กุมภัณฑ์ อีกด้วย กุมภัณฑ์นี้ เป็นยักษ์พวกหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาดพิกล คือ มีท้องใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีสัญลักษณ์พิเศษ
ที่สังเกตุได้ง่าย ก็คือ มีร่างกายสูงใหญ่มหึมา และ มีท่าทางดุร้าย กับทั้งมีอัณฑะเหมือนหม้อ ฉะนั้น พวกเขาจึงด้นามว่า กุมภัณฑ์ แปลว่า
เหล่าสัตว์ที่มีอัณฑะเหมือนหม้อ พวกกุมภัณฑ์นี้ มีความเคารพเกรงกลัวต่อท้าววิรุฬหกมหาราช ผู้เป็นเจ้านายของตนยิ่งนัก
ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าแห่งอสูร
และกุมภัณฑ์ (ตามความเชื่อบางคติจะพบได้ว่าท้าววิรุฬหกคือผู้ปกครองครุฑ และนก)
ปกครองทิศใต้ มหาราชองค์นี้เป็นใหญ่ในกุมภัณฑ์ ซึ่งให้การอารักขาด้านทิศทักษิณ
(ใต้) แห่งเขาพระสุเมรุเทวดาโอรสของพระองค์มี ๙๐ องค์ด้วยกัน
แต่ละองค์ล้วนมีแต่ฤทธิ์อานุภาพแกล้วกล้า ปรีชาชาญงามสง่า
และเป็นที่ยกย่องเกรงขามทั่วไป ท้าวจตุโลกบาลองค์นี้มีสิ่งประดับบารมีมากมาย
เสวยสุขอยู่ในหมู่ราชโอรส ตลอดพระชนมายุ ๕๐ ปีทิพย์หรือปีมนุษย์นับได้ ๑๖,๐๐๐ ปีเป็นประมาณ
ลักษณะ ของท้าววิรุฬหกมหาราชนั้น
แต่งกายด้วยชุดนักรบสวมชุดเกราะดั่งแม่ทัพใหญ่
มีพระพักตร์สีเขียวเข้ม(บ้างว่าเป็นสีน้ำเงิน)
พระหัตถ์ทรงถือไว้ด้วยกระบี่วิเศษที่มีสีเขียวคราม เรียกกันว่า ชิงเฟิงเป่าเจี้ยน
(青峰宝剑) กระบี่
เล่มนี้มีความแหลมคมดั่งสิ่งวิเศษ ตัดฟันสิ่งใดล้วนขาดสบั้น
บ้างก็กล่าวว่าท้าววุรุฬหกมหาราชมีมหามนตรา
จึงสามารถใช้เวทมนต์ให้บังเกิดเป็นเปลวไฟที่มีพลังอำนาจอันร้ายแรง
และกระบี่วิเศษของท่านนั้น ยามใดที่สะบัดออกก็จะบังเกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ
ท้าวมหาราช
ผู้ปกครองสวรรค์ด้านทิศใต้นาม ท้าววิรุฬหก ทรงมีเหล่ากุมภัณฑ์เป็นบริวาร
อันว่ากุมภัณฑ์ก็คือยักษ์ประเภทหนึ่งทรง
มีสิ่งที่เป็นทิพย์เหมือนดั่งท้าวมหาราชองค์อื่นๆ คืออายุเป็นทิพย์ วรรณะเป็นทิพย์
รูปเป็นทิพย์ มีสัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงที่เป็นทิพย์มีหน้าที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ดูแลความเป็นอยู่ของมนุษย์ทุกวัน
พร้อมมหาราชองค์อื่นๆ
แต่มีบางวันก็จะส่งเทวบุตรลงมาดูแลแทนการลงมาของท้าวมหาราชทั้งสี่
จะคอยตรวจตราดูว่ามนุษย์ผู้ใดทำบุญสร้างกุศล
ก็จะจารึกชื่อนามของมนุษย์ผู้นั้นลงบนแผ่นทองคำสีสุกปลั่ง
แล้วนำไปถวายเป็นทอดๆจนสุดท้ายผู้รับถวายการรายงานก็คือพระอินทร์ จะทรงอ่านรายชื่อมนุษย์ผู้กระทำความดีให้
เทวดาทั้งหลายได้รับรู้ เทวดาทุกภพทุกภูมิจะได้ยินพระสุรเสียงอันก้องกังวาลของพระอินทร์
ก็จะแซ่สร้องสาธุการ โมทนาในบุญกุศลทุกครั้งไป.
คาถาบูชา- โอม ศรีวิรุฬหก มหาราชะ
ผู้ที่เหมาะสม- ผู้ที่ปรารถนา
การอยู่เหนือผู้อื่น การกำราบผู้ที่ดื้อไม่เชื่อฟัง การคุ้มครอง
จากอันตรายทั้งปวงในการเดินทาง
ท้าววิรุฬหกราช มีคุณประสิทธิ์กำลังฤทธิ์
ประสิทธิพรให้เกิดฤทธิ์อำนาจบารมีและเงินตราชื่อเสียง ความสำเร็จ ความก้าวหน้า
ความเป็นศิริมงคล
………………………..
ใน สุตตันตปิฎกติกนิบาต ได้แสดงหน้าที่ว่า
เป็นผู้ตรวจดูโลก ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์ในวัน ๘ ค่ำแห่งปักษ์
อมาตย์บริษัทของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๔ ค่ำแห่งปักษ์ บุตรทั้งหลายของท้าวมหาราชทั้ง ๔
เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลกเองว่า
- พวกมนุษย์พากันบำรุงมารดาบิดา
- บำรุงสมณพราหมณ์
- เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล
- รักษาอุโบสถ ทำบุญกุศล เป็นต้น
มีจำนวนมากอยู่หรือ ??
เมื่อตรวจดูแล้วถ้าเห็นว่ามีจำนวนน้อย
ก็ไปบอกแก่ พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งประชุมกันในสุธรรมสภา
พวกเทพชั้นดาวดึงส์เมื่อได้ฟังดังนั้น ก็มีใจหดหู่ ทิพยกายจักลดถอย
อสุรกายจักเพิ่มพูน
แต่ถ้าเห็นว่าพวกมนุษย์พากันทำดี
มีบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น เป็นจำนวนมาก พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็จะพากันชื่นบาน
ทิพยกายจักเพิ่มพูน อสุรกายจักลดถอย
ดังกล่าวมานี้เป็นหน้าที่ของท้าวมหาราชทั้ง ๔
ทำหน้าที่คุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ
ในเรื่องความคุ้มครองโลกนั้นพระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมที่เป็นธรรมคุ้มครองโลก(โลกบาล)ไว้
๒ ข้อ คือ
หิริ ความละอายใจที่จะทาชั่ว
โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว
บุคคลทั้งหลาย เมื่อมีธรรมคุ้มครองโลกรักษาไว้แล้ว ก็จะไม่ทำความชั่ว
เพราะความละอาย ไม่ทำความชั่วเพราะมีความเกรงกลัว
เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะมีท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาตรวจตราที่จิตใจหรือไม่มีก็ตาม
บุคคลทั้งหลายก็เป็นผู้ที่ละเว้นความชั่วได้แล้วด้วยความมีหิริ และโอตตัปปะ
อาฏานาฏิยสูตร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ
เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตั้งการรักษาไว้ทั้ง ๔ ทิศ
ตั้งพลขันธ์ไว้ทั้ง ๔ ทิศ ตั้งผู้ตรวจตราไว้ทั้ง ๔ ทิศ ด้วยเสนายักษ์กองใหญ่
ด้วยเสนาคนธรรพ์กองใหญ่ ด้วยเสนากุมภัณฑ์กองใหญ่ และด้วยเสนานาคกองใหญ่
เมื่อราตรีล่วงปฐมยามไปแล้ว
เปล่งรัศมีงามยิ่ง ยังภูเขาคิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างไสว
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
แต่ที่นี้ไป
ทิศที่ชนเรียกกันว่า ปุริมทิศ(ตะวันออก)
ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกคนธรรพ์
-ทรงนามว่า "ท้าวธตรฏฐ์"
อันพวกคนธรรพ์แวดล้อมแล้ว ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ทรงอภิบาลอยู่
ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า โอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์
มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกำลังมาก ฯแต่นี้ไป
ทิศที่ชนเรียกกันว่า ทักขิณทิศ(ใต้) ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ
เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกกุมภัณฑ์
ทรงนามว่า "ท้าววิรุฬหะ"
อันพวกกุมภัณฑ์แวดล้อมแล้วทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ทรงอภิบาลอยู่ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า
โอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์
มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกำลังมาก ฯแต่ที่นี้ไป
ทิศที่มหาชนเรียกกันว่า ปัจฉิมทิศ ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกนาค
ทรงนามว่า "ท้าววิรูปักษ์"
อันพวกนาคแวดล้อมแล้ว ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ทรงอภิบาลอยู่ ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า
โอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์
มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกำลังมาก
แต่ทิศนี้ไป
ทิศที่ชนเรียกกันว่าอุตตรทิศ ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ
เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของยักษ์ทั้งหลาย
ทรงนามว่า "ท้าวกุเวร"
(เวสสุวัณ)
อันยักษ์ทั้งหลายแวดล้อมแล้ว
ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำ
ขับร้องทรงอภิบาลอยู่ ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า โอรสของท้าวเธอมีมากองค์
มีพระนามเดียวกัน ทั้งเก้าสิบเอ็ดพระองค์
..................
หลวงพ่อเล่าเรื่อง อดีตของท่านท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล
"มาวันนี้อารมณ์เริ่มทรงตัวขึ้นมาบ้าง
ก็ใช้กำลังทรงตัวได้ แต่ถ้าใช้กำลังทรงตัวแน่นไปอีกก็ไม่เห็นอะไร
พอขยับจิตเคลื่อนลงมานิดหนึ่งอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ
ก็เห็นท่านท้าวมหาราชนั่งอยู่ข้างๆ ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ เขาเรียกว่า
ท้าวจตุโลกบาลมีหน้าที่รักษาคุ้มครองชาวมนุษยโลก
ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกันช่วยเหลือ จะส่งเทวดาไปอารักขา
ถ้าสร้างความชั่วก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ก็อดใจไว้
และก็มีหน้าที่บันทึกความดีความชั่วของคนทั้งการพูด
การคิด การทำทุกอย่าง สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชอยู่กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ
คนที่ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยได้ฌานสมาบัติ
แต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ถ้าขณะที่ตายเข้าฌานตาย ก็จะไปเกิดเป็นพรหม
ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
๑) ท่านท้าวเวสสุวัณคุมด้านทิศเหนือ
๒) ท่านท้าววิรุฬหกคุมด้านทิศใต้
๓) ท่านท้าวธตรฐคุมด้านทิศตะวันออก
๔) ท่านท้าววิรูปักข์ คุมด้านทิศตะวันตก
ท่านท้าวเวสสุวัณ
เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ ท่านท้าวเวสสุวัณเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ
และเป็นประธานของท้าวมหาราชทั้ง ๔ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
ในเมืองมนุษย์มักจะทำสัญลักษณ์เป็นรูปยักษ์ จะเห็นได้ตามวัด
ตามถํ้าจะมีรูปปั้นยักษ์อยู่ทางด้านหน้าทางเข้า
ก่อนที่ท่านจะมาเป็นท่านท้าวมหาราชเขตจาตุมหาราช
ถอยหลังไป ๑ ชาติ ในตอนต้นเลยทีเดียวที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาพราหมณ์
ท่านมีนามว่า “กุเวรพราหมณ์”เป็นชื่อเดิม
ต่อมาท่านเป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์มหานครทรงพระนามว่า “พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์”ท่านเกิดรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารครองกรุงกบิลพัสดุ์
ซึ่งต่อมาทรงออกผนวชบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรง
พระนามว่า “สมเด็จพระสมณโคดม”ท่านมีพระสหายอีก ๒ องค์คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลครองกรุงสาวัตถีกับท่านพันธุรเสนารวมเป็น ๔
องค์ เป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์
สมัยนั้นไปเรียนหนังสือที่เมืองตักศิลาด้วยกัน
ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารทรงออกมหาภิเนษกรมณ์
พระเจ้าพิมพิสารทรงคิดว่ามีเรื่องราวกับใคร จึงนิมนต์ให้เข้าประทับในเมือง
จะมอบอำนาจให้ครึ่งหนึ่งและสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นมหาอุปราช
พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า“ไม่ได้หนีใคร ทรงเบื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ต้องการแสวงหาโมกขธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากความตาย
และต้องการเอาธรรมนั้นมา สอนคนอื่น”
พระเจ้าพิมพิสารจึงบอกว่า
“ถ้าพระองค์ทรงบรรลุเมื่อไร ขอมาโปรดข้าพเจ้าก่อน”
พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ทรงสอนคนมาตามทาง
จนกระทั่งถึงกรุงราชคฤห์มหานคร พบพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ก็ทรงเทศน์
พอเทศน์จบปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันพร้อมกับคนจำนวนมาก
หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าประทับในพระเวฬุวันมหาวิหาร
ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ ที่นั้น พระเจ้าพิมพิสารไปเฝ้าทุกวัน ได้ถวายทานทุกวัน ฟังเทศน์ทุกวัน
จึงมีอานิสงส์ดังนี้คือ
การถวายทาน
เป็นปัจจัยให้ได้ทิพยสมบัติ
การถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร
เป็นเหตุให้ได้วิมานสวยงาม
กำลังความเป็นพระโสดาบันและทรงฌานสมาบัติด้วย
เป็นเหตุให้มีกำลัง เมื่อไปเป็นเทวดาก็ทรงอำนาจมาก
เวลาที่ท่านจะตาย
ท่านถูกลูกชายคือ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรมาน
คือพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกบฏทรยศต่อพ่อ แย่งราชสมบัติแล้วก็ทรมานพ่อ โดยจับขังคุก
ต่อมาให้อดข้าว เมื่อท่านยังเดินจงกรมได้
ท่านอยู่ด้วยธรรมปีติแม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส
ในที่สุดเขาก็เฉือนเท้าไม่ให้เดิน
ท่านก็มีความเจ็บปวดมาก
แต่จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านก็มีจิตใจชุ่มชื่น ปวดน่ะปวด แต่ท่านก็ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน
แม้ฐานะจะต่างกัน แต่สภาพจริงๆ มันเหมือนกันคือ
มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นเหมือนกันหมดทุกคน และก็เดินเข้าไปหาความแก่ มีทุกขเวทนา
มีการทรมานจากร่างกาย และในที่สุดก็เป็นคนตาย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ จะเป็นเศรษฐี
คหบดี หรือคนยากจนก็ตาม มีสภาพเหมือนกันไม่มีอะไรแตกต่างกัน
พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ท่านเป็นพระโสดาบันขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
เวลาตายท่านออกด้วยกำลังของฌาน ๔ จะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่พอจิตแยกออกจากกายแล้ว
ท่านมีความรู้สึกด้วยอำนาจกำลังจิตที่เป็นทิพย์ว่า
ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสารท่านเคยเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชมาก่อน
ท่านก็เลยไม่ไปอยู่พรหม มาอยู่ชั้นจาตุมหาราชที่เดิม เมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว
ท่านก็ฝึกฝนจนเป็นพระอนาคามี และท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้
ท่านท้าววิรุฬหก
ท่านเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็นกุมภัณฑ์
“กุมภะ”แปลว่า “หม้อ”ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกับพ้อมใส่ข้าว ผิวดำปี๋ พุงก็ปลิ้น
คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูนๆ ตาใหญ่มาก
สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว
แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก
ท่านมาบอกอาตมาว่า
ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน
เป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่มีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน
ท่านบอกท่านเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน
เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาความรัก
กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ
สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น
นอกจากนั้นท่านมีความต้องการหนังเหนียวยิงไม่ออก
แคล้วคลาดจากอาวุธ และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและเป็นฆราวาสก็มี
ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด
ท่านต้องมีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน
และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์
หลังจากนั้นต้องทำจิตให้มั่นคงโดยภาวนาให้จิตทรงตัว
ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเองถ้าจิตมีสมาธิสูง
กำลังอานุภาพที่ต้องการก็จะมีอานุภาพมาก
ถ้ากำลังสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็มีอานุภาพตํ่า การท่องคาถาอาคม การปลุกตัว
การปลุกของ ต้องทำทุกวันเพื่อความมั่นคง
จิตต้องเข้าถึงฌานสมาบัติแต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าฌานตาย
เมื่อตายแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช
ต่อมาก็ขึ้นเป็น เทวดาชั้นอินทกะ (คำว่า“อินทกะ”แปลว่า“ผู้เป็นใหญ่”คือเป็นรองท่านท้าวมหาราช
อินทกะนี้มีได้ทิศละพันองค์
พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ตามความสามารถและวาสนาบารมี
ในเมื่อท่านท้าวมหาราชไปจากชั้นนี้
คือจากชั้นจาตุมหาราชไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือว่าไปเป็นพรหมบ้าง
หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม) จากอินทกะท่านก็เป็นท้าวมหาราช คือท่านท้าววิรุฬหกในปัจจุบันนี้
ท่านท้าวธตรฐ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันออก
วันที่ ๖
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ เห็นท่านท้าวมหาราชมานั่งอยู่
องค์หนึ่งมาตัวสูงเท่ายอดตาล จึงหันไปถามว่า “ใคร” ท่านท้าววิรุฬหกตอบว่า
“ท่านธตรฐครับ”พอท่านเข้ามาใกล้ก็เลยถามว่า
“ทำไมสูงเหมือนเปรตแบบนี้ล่ะ”
ท่านตอบว่า
“อย่างนี้เขาเรียกสูงแบบเทวดา ไม่ใช่สูงแบบเปรต” ถามท่านท้าวธตรฐว่า
“อดีตของท่านเคยเป็นอะไรมาตอนเป็นมนุษย์” ท่านตอบว่า “อดีตผมเป็นพระราชาเมืองพาราณสีครับ”ก็เลยถามท่านว่า “เวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นเทวดาได้อย่างไร”
ท่านตอบว่า
“เทวดาหรือพรหมไม่จำเป็นต้องนับถือพระพุทธศาสนาเสมอไป
พราหมณ์ก็เป็นเทวดาเป็นพรหมได้” เวลานี้ท่านเป็นพระอนาคามี
เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ท่านไม่กลับลงมาเกิดอีกแล้ว
ท่านท้าววิรูปักษ์ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันตก
ในวันที่
๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ วันเดียวกันนั้นอาตมาได้หันไปถาม ท่านวิรูปักษ์ ว่า “อดีตท่านเป็นอะไร”
ท่านตอบว่า “อดีตผมอยู่ปักษ์ใต้
ประเทศไทยนี่เอง เป็นผู้ชายไทย ฐานะสูงมากสมัยรัชกาลที่ ๕
ได้ฌานสมาบัติแต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ตายแล้วไปเป็นอินทกะเลย
เมื่อท่านวิรูปักษ์องค์เก่าขึ้นไปเป็นพรหม ท่านก็ขึ้นเป็นแทน ท่านเก่งมาก
เป็นอันว่าก็ได้ทราบประวัติของท่านท้าวมหาราชทั้ง
๔ แล้วว่าใครเป็นใคร ทำให้ทราบว่าการเป็นเทวดาก็ไม่หนักสำหรับพวกเรา
การเป็นพรหมก็ไม่หนัก การไปพระนิพพานก็ไม่หนัก การไปนรกก็ไม่หนัก
ชอบทางไหนก็ไปได้ทั้งนั้น.
เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
คือ ท่านท้าววิรุฬหก ครับ
อ้างอิงจากหนังสืออ่านเล่น
เล่ม ๕ โดย ส. สังข์สุวรรณ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ดังนี้ ครับ
"ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย
วันนี้วันที่บันทึกก็ยังเป็นวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นการบันทึก ตอนที่ ๖
ของหนังสือเล่มที่ ๕ เรียกว่า หนังสืออ่านเล่น เขียนโดย ส.สังข์สุวรรณ แต่ว่า
เวลานี้เขียนไม่ไหว ตาไม่เห็นเส้น ไม่เห็นน้ำหมึก ก็เลยต้องบันทึกเสียงแทน
ให้เจ้าหน้าที่ลอกเป็นตัวหนังสือ
ก็เป็นอันว่าตอนที่แล้ว
เรื่องมาขาดตอนลงที่เรื่องราวของ ท่านพลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ว่าท่านเป็นเทวดาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อท่านจริง ๆ
เคารพท่านจริง ๆ ขอย้ำตอนนี้นะบรรดาท่านผู้ฟัง ถ้าเชื่อไม่จริง เคารพไม่จริง
อย่าลืมว่าท่านเป็นเทวดา ท่านรู้ความรู้สึกของคนท่านจะไม่ยอมช่วย
มาว่ากันถึงการช่วยเหลือ
เขาบนกันทุกอย่างเป็นการช่วยเหลืออาตมาจะนำเรื่องมาคุยให้ฟัง อาตมาก็เคยบน
แต่ทว่าบนให้คนอื่นเขาบนเพื่อช่วยเขา ท่านก็ช่วยได้ ถ้าไม่ลืมเรื่องนี้
ก็จะนำมาเล่าให้ฟังเพราะไม่ได้บันทึกมา
เเป็นอันว่า
ครั้งหนึ่ง เสริมศรี ส่งสิริ เธอมีความเคารพในกรมหลวงชุมพรฯ มาก
มีอะไรขัดข้องเธอก็บน แต่ว่าการบนทุกอย่างของท่านมีผลทุกคราว
คนนี้มีความเลื่อมใสมาก ต่อไปเมื่อคนอื่นมีทุกข์ ต้องการให้ท่านกรมหลวงชุมพรฯ ช่วย
ก็มาของร้องให้เสริมศรีบน เพราะตนเองจะบนก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยหรือไม่ช่วยทำผิดหรือทำถูก
จิตใจนั้นเคารพแน่ แต่เกรงว่าจะผิดระเบียบ และเสริมศรีก็ช่วยบนให้
และก็มีผลตามนั้นทุกครั้ง เป็นที่น่าอัศจรรย์
ใครว่าผีช่วยไม่ได้
เทวดาช่วยไม่ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย ไม่จริง คนมันไม่ดีเทวดาท่านจะช่วยอย่างไร เทวะ
แปลว่า ผู้ประเสริฐ ท่านจะเป็นเทวดาได้
ธรรมะเบื้องต้นของท่านที่ปฏิบัติได้ขั้นแรกคือ หิริ และ โอตัปปะ
ก่อนจะตายมีความรู้สึกตัว
เกรงกลัวผลของความชั่ว อายความชั่ว เวลานั้นจิตเป็นกุศลธรรม ตายจากความเป็นคน
จึงเป็นเทวดา แต่ในเมื่อคนที่จะไปใช้ท่าน หรือต้องการจะเห็นท่าน
ต้องการจะให้ท่านช่วย ในเมื่อคนนั้นมันยังนิยมความชั่วไม่อายความชั่ว
ไม่เกรงกลัวผลของความชั่ว เป็นคนเลว เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ
ผู้ประเสริฐก็ไม่กล้าสู้คนเลว ไม่กล้าช่วยคนเลว เพราะเกรงว่าจะเลวไปด้วย
อย่างนี้คนเลวบนไม่ได้ผล บอกกันเสียก่อนนะ
วิธีบน
ที่แรกเขาก็บนกันตามความชอบใจ ต่อมาอาตมาถามท่าน ก็ขอพูดกันตรงไปตรงมา
เคยคุยกับท่าน ท่านกรมหลวงชุมพรฯ นั้น ท่านมาให้เห็นเป็นปกติ
และก็ขอร้องให้ท่านช่วยอะไร ท่านก็ช่วยตามกำลังของเทวดาที่จะพึงช่วยได้
อย่าไปเกณฑ์เทวดาทุก ๆ อย่าง ถ้าจะเกณฑ์ว่าขอเทวดาจงบอกหวยให้ อันนี้ไม่ได้
เกณฑ์ได้แต่ว่าท่านไม่ช่วย อย่างอาตมานี้ขอพูดให้ฟัง
ท่านปู่ใหญ่ คือ สหัมบดีพรหม
เดิมทีเดียวเมื่อท่านเป็นพระในหลายร้อยปีมาแล้ว
อาจจะเป็นเกือบพันปีมาแล้ว ท่านชื่อ สิงห์ เป็นพระทรงสมาบัติขั้นสูง
และก็เป็นพระอริยเจ้า ต่อมาก่อนหน้าท่านเป็นสหัมบดีพรหม ขณะเป็นรอง
ไปถามเรื่องหวยท่าน ท่านเอาเรียงเบอร์มาให้อ่านเลย อ่านเรียงเบอร์
อ่านได้ทุกรางวัล เหมือนกับที่เขาพิมพ์ ทำภาพให้เห็น แต่ท่านบอกว่า ห้ามบอกใครนะ
แต่ความจริงสังเกตดูแล้วว่า
ท่านไม่บอกนี่ตรงทุกที ถ้าบางครั้งท่านจะบอกได้เท่านี้นะ ถ้าพูดเท่านั้นมีผล
ถ้าพูดเลยไปตัวเดียวหรือแต้มเดียว หรือว่าประโยคเดียว จะไร้ผลทั้งหมด
เวลานี้ท่านก็เลยขอร้อง ปฏิเสธ บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อยากจะรู้จะให้รู้
แต่ห้ามพูดเด็ดขาด ก็เลยเป็นอันว่า ไม่รู้เสียดีกว่า รู้แล้วพูดไม่ได้ มันอึดอัดใจ
มาว่ากันถึงเรื่องกรมหลวงชุมพรฯ
กันดีกว่า วิธีบน
บรรดาท่านพุทธบริษัท
ฟังแล้วอาจจะบนกันบ้าง วิธีบนก็คือ
๑.
ข้าวปากหม้อ คำว่า ข้าวปากหม้อ หมายความว่า ข้าวปากหม้อที่ยังไม่เป็นเดนใคร ตักมา
๑ ถ้วย
๒.
หมูต้ม หมูธรรมดาต้ม ประมาณสักครึ่งกิโล ถ้าจนมากก็ชิ้นเดียว อย่าให้เล็กนัก
๓.
ไก่ต้ม ถ้าจนมากมีทุนน้อย ก็ไม่ต้องถึงตัว เอาชิ้นหนึ่งก็ได้
แต่คนมีทุนมากต้องเอาถึงตัว อย่าขี้เหนียวนะ ขี้เหนียวเทวดาไม่ช่วย
๔.
ทองหยิบ ฝอยทอง อย่างละถ้วยเล็ก ๆ ก็ได้ ๒-๓ อันก็ได้นะ
๕.
ขนมจีนน้ำพริก
เท่านี้ก็พอแล้ว
แต่ว่าตามพิธีกรรม ถ้าจะบนท่านให้ใช้ของทั้งหมดนี้ก่อนเวลาบน ถวายก่อน
เวลาถวายท่านกำหนดว่า เวลาตอนเช้าให้ใช้เวลาก่อน ๒ โมงเช้า ๑๐ นาที
หรือก่อนหน้านั้นนิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าให้ถึง ๒ โมงเช้า ถ้าจะแก้ตอนบ่าย
ตอนเย็นให้ใช้เวลา ๓ โมงเย็น แต่ก่อนเวลา ๓ โมงเย็นสัก ๑๐ นาที เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งไม่ต้องใช้กัน
เวลานี้ท่านเป็น
วิรุฬหก เมื่อก่อนเป็น วิรุฬหก ชอบให้เขาแก้บนด้วยน้ำตาลเมา แต่เดี๋ยวนี้บอก
ไม่เอาแล้ว ลูกน้องมันมาก เดี๋ยวลูกน้องมันเมา มนุษย์จะมีความลำบาก
เทวดาเมานี่ยุ่ง แต่ความจริงเทวดาท่านไม่กินน้ำตงน้ำตาลหรอก ก็ว่ากันเรื่อยเฉื่อยไป
เป็นสัญลักษณ์ว่าสมัยเป็นคนชอบอะไรก็ขออย่างนั้น"
เมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่ถวายภัตตราหารหลวงพ่อ
ตามปกติฉันนอน
22.00 น. และตื่น 1.30 น. เป็นปกติ ทำวัตรสวดมนต์แบบย่อ ๆ พอเวลาใกล้ 2 น.
ฉันก็เริ่มทำสมาธิ พอถึง 4 น. ฉันก็ดูตำรา 5 น. ฉันก็กลับทำสมาธิใหม่เพื่อรักษาอารมณ์
เวลาออกบิณฑบาตรตามแบบฉบับของพระโบราณ
ปฏิปทาของพระสมัยใหม่ท่านทำกันอย่างไรฉันไม่รู้ ด้วยฉันแก่แล้ว
และมานั่งเป็นฤาษีหัวล้านอยู่ในป่าห่างเมืองหลวงตั้ง 300 กม.เศษ
จะรู้เรื่องของพระในเมืองหลวงได้อย่างไร
วิธีที่เข้าฌานก่อนแล้วคลายอารมณ์มาสู่อุปจารฌานหรือปฐมฌานแล้วออกบิณฑบาตร
แบบนี้ท่านเรียกว่าพระโปรดสัตว์ เพราะท่านที่ใส่บาตรมีผลมาก ได้บุญแรง มีลาภง่าย
ยิ่งได้พระอริยเจ้าท่านเข้า ผลสมาบัติ คือ พิจารณาวิปัสสนาญาณก่อน
เมื่อจิตสะอาดดีแล้วเข้าฌานเต็มกำลังแล้วคลายออก ทรงอยู่เพียงอุปจารฌานฌานหรือปฐมฌานอย่างนี้อานิสงส์ยิ่งมาก
บุญมาก ลาภสูง ที่ท่านพอตื่นก็ร้องเพลงหรือนึกถึงคนรัก นึกถึง
สถานหรือวิธีหากิน
ซักซ้อมความคล่องเพื่อลาภสักการ อย่างนี้ท่านไม่เรียกพระโปรดสัตว์
ท่านเรียกว่าไปให้สัตว์โปรด ด้วยท่านไม่มีอะไรดีที่จะให้บรรดาท่านที่สงเคราะห์เลย
นี่ว่ากันตามแบบพระโบราณไม่ทันสมัยนะ สำหรับท่านที่ทันสมัย มีลาภ มียศ
มีคนสรรเสริญ มีกามสุขสมบูรณ์
ท่านอาจจะมีความเห็นไปอีกอย่างหนึ่งและทำให้พระทันสมัยขึ้น
อาจจะมีผลดีกว่าที่ฉันว่าอย่างนี้ ได้ฟังแล้วอย่าถือเอาไปเป็นแบบแผนนะ
ประเดี๋ยวจะหาพระครึ ๆ อย่างฉันพูดไม่ได้ เลยไม่มีโอกาสทำบุญ
พูดเลยเรื่องไปเสียแล้วอีกกระมัง
มาเข้าประเด็น คำว่าประเด็นหมายความว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง
เคยเข้าในเมืองหลวงเห็นเขาพูดกันฉันก็เลยพูดบ้าง มันเข้าท่าหรือเปล่าก็ไม่รู้
เอาแบบเก่าดีกว่านะ พูดว่าเรามาเข้าเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า อย่างนี้ฟังง่ายดีนะ
ขณะที่หลวงพ่อท่านเชิญ พอท่านหยุดนิ่ง ฉันไม่ประสงค์องค์อื่น อยากรู้จักท้าวเวสสุวัณองค์เดียว
เห็นช่างภาพเขาเขียนรูปท่านเป็นยักษ์
ไม่ใช่ยักยอก เป็นยักษ์มีเขี้ยวยาว มีกระบองยาวคล้ายพลองลูกเสือ ท่าทางน่ากลัว
ก็เลยอยากเห็นยักษ์ ตามข่าวที่เล่าลือกัน เขาว่าท่านมีอานุภาพมาก
ฉันเลยขอท่านท้าวเวสสุวัณองค์เดียว กรุณามาให้เห็นเวลา 2 น.
ฉันก็เข้าสมาธิ
เรื่องของสมาธิ เข้าเพียงหายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็จมเบ้า (เต็มอัตรา)
คำว่าจมเบ้าเป็นภาษาเด็กเลี้ยงควาย เกรงว่าจะหายสาบสูญไปเสีย
ก็เลยเอามาพูดไว้เพื่อรักษาศัพท์วัฒนธรรมเลี้ยงควาย เมื่อถึงเวลา 2 น. ตรง
ฉันก็คลายออกมาสู่อุปจารสมาธิเป็นอารมณ์ที่พอจะเห็นนิมิตได้
เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลา 2 นาฬิกาเพียงเป๋งแรก
ทั้ง ๆ ที่หลับตา
ก็มองเห็นชายคนหนึ่งนุ่งผ้าขาวห่มผ้าสไบเฉียงขาว
ถือไม้พลองยาวแค่หัว เดินลิ่ว ๆ มาทางทิศเหนือ
แกเดินเร็วเหลือเกิน ไม่ถึงนาทีมาถึงที่ฉันอยู่แล้ว
ใจฉันบอกเลยว่าท่านผู้นี้คือท่านท้าวเวสสุวัณ ดูท่านแล้ว ท่านมายืนห่างจาก ฉันสัก
2 วา
ท่านไม่มีเขี้ยว หน้าตาท่านสวย ผิวสวย
ทรงงามมาก ไม่สวยตื้อต้าอย่างฉัน หัวท่านไม่ล้าน
ความจริงตอนที่ฉันเห็นท่านวาระแรกหัวฉันไม่ล้าน แต่มีผมสั้นมากเพราะถูกโกน
ดูท่านสักครู่
ท่านยืนเฉยไม่พูดอะไรเลย ชักนึกกลัวตะบองท่าน จึงออกปากเชิญ
ท่านกลับบอกว่าขอบใจท่านอาจารย์ อาตมาขอชมบารมีเท่านี้ เชิญท่านกลับได้
ท่านยิ้มแล้วพูดว่า เมื่อท่านอยากเห็นผม
ผมมาให้ท่านเห็นแล้ว ท่านกลัวผมทำไม
ท่านแอบรู้ใจเสียนี่ พวกเทวดานี่แย่มาก
รู้แม้การนึก
เมื่อเห็นท่านพูดเพราะ ความจริงเสียงท่านเพราะมาก
พูดจานิ่มนวลดีมาก ไม่เหมือนเสียงฉัน เสียงฉันไม่ต่างอะไรกับเสียงกะทะแตก
เวลาพูดก็ไม่มีสำเนียงเพราะ ก็เรื่องของคนไกลเมืองหลวง มายาไม่ทันสมัย
มันก็อย่างนั้นเอง จะดัดแปลงให้ทันสมัยหรือก็แก่จะเข้าเตาเผาเสียแล้ว
ขนเอาวาจาโฮกฮากทิ้งไว้ เก็บเอาวาจาเพราะพริ้งมาใช้แทน
ดีไม่ดีใครเดินมาพบวาจาโฮกฮากที่วางไว้เอาไปใช้แทน
ถ้าอายุยังน้อยอยู่
อีกนานกว่าจะตายก็จะต้องใช้ไปอีกหลายปี เมื่อไม่มีคนชอบฟังก็จะลำบากอย่างฉัน
ต้องเอาป่าเอาดงเป็นเรือนอาศัย และจะต้องตายในป่า ไม่มีเครื่องตั้ง
ไม่มีเมรุประดับศพ อย่าทิ้งมันเลยพาตายไปด้วยดีกว่า
เมื่อเห็นท่านพูดด้วยก็ชักมีกำลังใจ
เลยชวนท่านคุย ท่านก็คุยด้วย เรื่องที่คุยก็ถามท่านว่า เมื่อช่วยหลวงพ่อได้
ช่วยฉันมั่งได้ไหม บอกท่านว่า ฉันมีสมาธิไม่ดี เวลาท่านมาขอให้เห็นง่ายๆ
ท่านบอกว่าได้ ท่านว่าลืมตาหรือหลับตาก็ได้
จะได้เห็นสบาย ๆ
เลยถามต่อไปว่าขอเห็นองค์อื่นและบริวารทั้งหมดด้วย องค์อื่น ๆ ท่านจะยอมไหม
ท่านบอกว่ายอมทุกองค์
เลยบอกว่าอยากเห็นเดี๋ยวนี้ ท่านบอกว่าเขามากันครบแล้ว
พอท่านพูดขาดคำก็เห็นครบทั้ง 4 องค์
ไม่เห็นมีเขี้ยวสักองค์ ท่านสวย ๆ ทุกองค์เมื่อท่านใจดีผีเลยเข้า ถามท่านว่า
เทวดาเขามีชฎา ท่านมากันนี้ไม่เห็นมีชฏาสักองค์
ท่านบอกว่ามาหาพระจะเอาหมวกสวมมาทำไม
ท่านไม่ยักเรียกชฏา เรียกหมวก ถามท่านว่าขอเห็นภาพเต็มยศได้ไหม
ท่านพูดว่าเขาไม่เรียกเต็มยศ เขาเรียกว่าเครื่องประดับเต็มอัตรา โดนท่านสอนภาษาไทยเข้าให้
ระยำจริง ๆ ท่านบอกอยากเห็นก็ได้
พอท่านพูดจบต่างก็มีเครื่องประดับแพรวพราวไม่เห็นไปแต่งตัวเปลี่ยนเครื่องเดิมที่ไหนเลย
ถามท่านว่าทำไมแต่งตัวเร็วนัก ท่านบอกว่าพอนึกก็เสร็จ
ดูของท่านมันง่ายทุกอย่างทั้ง 4 ท่าน
ท่านถามว่าจำได้ไหม บอกว่าจำไม่ได้ ท่านพูดว่ามนุษย์ลืมง่าย
ท่านกับพวกผม 4 องค์นี้เคยอยู่ร่วมกันมา
วันหน้าจะเล่าให้ฟัง ท่านว่าอย่างนั้น เวลานี้สว่างมากแล้ว พระกำลังจะออกบิณฑบาตร
ท่านเตรียมตัวไว้ออกบิณฑบาตร อยากฉันอะไร
ตอบท่านว่า
อยากฉันผักบุ้งต้มน้ำปลาที่เขาหั่นพริกใส่รวมกัน
ท่านบอกว่า พอกลับถึงวัดจะมีคนเอามาให้
ถามว่าเมื่อบิณฑบาตรไม่ได้หรอกหรือ ท่านบอกว่าถือมาลำบาก
เมื่อกลับถึงวัดจะมีคนนำมาให้เอง ท่านลากลับ
ฉันก็ไปบิณฑบาต พอกลับมาวัด
หลวงปานท่านเรียกเข้าไปหา
ท่านถามว่าเมื่อคืนนี้
คุยกับท่านท้าวมหาราชสนุกไหม เรียนท่านว่าสนุก
ท่านบอกว่าท่านท้าวมหาราชมาฟ้องว่า กลัวท่าน
นึกในใจว่าเทวดานี่ปากบอนจริง แล้วก็รับกับท่านว่ากลัว
ท่านบอกว่า
ขอผักบุ้งต้มน้ำปลาใส่พริกเขาไว้หรือ เรียนท่านว่าขอรับ
ท่านหัวเราะ
แล้วหยิบถ้วยใส่ผักบุ้งต้มที่ถอนทั้งต้น ผักบุ้งอะไรแปลกจริง
มันใหญ่ขนาดแขนเกือบจะลงไปได้ ยาวหลายวา ถ้วยที่ใส่เป็นถ้วยดินโบราณ
โตเกือบเท่าชามกะละมัง มีน้ำปลาผสมพริก ไม่รู้ว่าพริกอะไรมันเผ็ดน่าดู
แตะเข้าไปนิดเดียวน้ำหูน้ำตาไหล
ท่านบอกว่าเก็บเอาไว้ ผักกินไม่หมดตากแดดไว้
เอาไว้ดูเป็นอนุสรณ์
ถ้วยใบนั้นหายเสียเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2
ไม่ทราบว่าใครเอาไป ฉันไปอยู่เสียที่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนภาษาบาลี
ถ้าอยู่สมัยนี้ลูกหลานคงจะได้ชมของโบราณ
เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่ท่านทั้งหลายสมัยใหม่มั่ง เก่ามั่งหาว่าครึหรือไร้ผลนั้น
มันไม่แน่นักหรอกนายเอ๋ย ทำกันจริง ๆ ค้นกันจริง ๆ คงเห็นว่าไม่ไร้ผล
แต่เอาผลตามที่ควรเอา อย่าหวังผลเลิศจนเกินพอดี เชิญมาขอหวย
เชิญมาขอให้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ นี่ว่าตามภาษาคนเก่า
สมัยนี้บรรดาศักดิ์ไม่มีแล้ว ของเก่ายังเหลือแต่ทว่าของใหม่ไม่มี
หรือใครจะนึกมีเอาเองก็ไม่ทราบ
เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่พูดมาแล้วขอผ่านไป
มาพูดถึงท่านขุนด่าน
ที่พวกฉันรู้จักก็เพราะเมื่อหลวงพ่อปานท่านจะสร้างวัดที่ไหน
ท่านต้องบวงสรวงก่อนเสมอเพื่อขอให้ช่วย เมื่อท่านบวงสรวง พวกฉันสามลิงรวมอยู่ด้วย
จึงรู้จักท่านขุนด่าน เพราะท่านขุนด่านท่านรับเชิญมาในพิธีบวงสรวงด้วย
ท่านขุนด่านเป็นเทวดาชั้นอำมาตย์ของท่านท้าวเวสสุวัณ
เรื่องท่านขุนด่านขอผ่านไป
คราวนี้มาวินิจฉัยกันถึงเรื่องเทวดา 4 ทิศ
ทิศตะวันออกมีท่านท้าวธตรฐ
เป็นใหญ่ในบรรดาคนธรรพ์ทั้งหมด พวกคนธรรพ์นี้ได้แก่ พวกเทวดา
ไม่ใช่คนธรรพ์ในเรื่องกากี เป็นเทวดาผู้มีบุญเคยบำเพ็ญฌานมาในสมัยเป็นมนุษย์
ทิศใต้มีท่านวิรุฬหก
เป็นใหญ่กว่ากุมภัณฑ์ทั้งหมด
ทิศตะวันตกมีท่านวิรูปักษ์
เป็นใหญ่กว่าบรรดานาคทั้งหมด คำว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคตระกูลงู
เป็นชื่อเทวดาหรือชื่อกองพลเทวดา ตัวจริงท่านเป็นเทวดาสวยงามมาก
ทิศเหนือมี
ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหมด
ยักษ์ตระกูลนี้ก็ไม่มีเขี้ยวเหมือนยักษ์โขนหรือหนังตะลุง มีรูปสวยเหมือนกัน
ท่านทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับมนุษย์มาก
ตามที่ท่านบอก ท่านว่ามีหน้าที่รับทราบความประพฤติของมนุษย์
และมีหน้าที่อารักขาชั้นดาวดึงส์ จัดเป็นกองทัพเทวดาที่รักษาเมืองสวรรค์
ถ้าจะเรียกเป็นกองทัพก็จัดเป็น 4 ทัพ คือกองทัพ
ภาคบูรพา ภาคทักษิณ ภาคปัจจิม ภาคอุดร รวม 4
ทัพด้วยกัน
ท่านจะรบกับใครไม่ทราบท่าน แต่ละท่านไม่เห็นมีปืนผาหน้าไม้
เห็นมีแต่กระบองและอาวุธสั้น เมืองท่านคงยังไม่คิดสร้างปืนเพื่อรบกัน
แต่ละกองท่านคัดเอาคนที่ได้ฌานเมื่อสมัยเป็นมนุษย์แต่ตอนตายไม่เข้าฌานตาย ปล่อยตายตามยถากรรม
เลยให้เป็นเทวดาชั้นนี้
เมื่อเป็นเทวดาอยู่พยายามบำเพ็ญบารมี คือ
บำเพ็ญฌาน เมื่อกลับทรงฌานได้ใหม่ท่านก็ไปอยู่ชั้นพรหม เป็นพรหมเลย
เห็นท่านว่าอย่างนั้น
และเคยทราบมาจากท่านที่เคยบอก
และเคยไปนั่งดูเวลาเขาไป คิดว่าจะทิ้งวิมานไว้จะได้เอาไว้เป็นที่พัก
พอแกไปมันก็หายไปพร้อมกัน คือ ทั้งเจ้าของและวิมาน
ไม่ยอมทิ้งทรัพย์สินไว้ให้คนอื่นใช้เลย เทวดานี่ขี้เหนียวจัง ไม่เหมือนคน
คนเมื่อตายแล้วไม่เอาอะไรไปเลย
แม้แต่ตัวยังไม่เอาไป
ยกให้คนที่ยังไม่ตายทั้งหมด ตลอดจนความแก่ โรคภัยไข้เจ็บ ความทุกข์เร่าร้อน
ไม่มีใครเอาไปด้วย ยกให้เป็นทรัพย์สินเพื่อลูกหลานปกครองตลอดไป ใจดีจัง
เทวดาขี้เหนียวกว่ามนุษย์เยอะลูกหลานทั้งหลาย
วันนี้ดูเหมือนสาระจะน้อยไปนะ
ที่มีก็เครียดเกินไป แต่ทว่ามันเป็นเรื่องควรรู้ไว้บ้าง ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง
เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงหรือเชิญเทวดา ถ้าคนเชิญเห็นก็มีผลตรง เป้าหมาย
ถ้าเชิญดะแบบชุมนุมเทวดา ก่อนที่จะเริ่มสวดมนต์ คนเชิญก็ไม่รู้ พระก็ไม่เห็น
เรื่องของเรื่องมันก็ว่ากันตามธรรมเนียม บางรายแต่งทำนองดัดเสียหยดย้อยไปเลย
ว่าแล้วเฉย มาหรือไม่มาฉันไม่เกี่ยว ความจริงก็ดีเหมือนกัน ถ้าพูดกันตามที่ถูกแล้ว
ถ้าไม่คิดว่าทำกันตามประเพณี ตั้งใจเชิญด้วยความเคารพ มีผลไม่น้อยเลย
ลองทำให้ใจสว่างจากนิวรณ์เถิดจะรู้จะเห็นเอง
............................
ท้าวมหาราชทั้ง 4 ให้คาถาปราบยักษ์
ท้าวมหาราชคือหัวหน้ายักษ์, คนธรรพ์,
กุมภัณฑ์, นาค อยู่ในทิศทั้ง 4 ในสวรรค์ชั้นจาตุรมหาราชิกา
(สวรรค์ชั้นต้น) เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ยักษ์ที่นับถือพระพุทธองค์ก็มี
ยักษ์ที่เกลียดพระพุทธองค์ก็มี (พวกยักษ์ที่ฆ่าสัตว์และกินเหล้าจะไม่ชอบคำสอนนี้)
เมื่อภิกษุไปปฏิบัติธรรมตามป่าเขาจะถูกยักษ์มารพวกนี้รังแกถึงเสียชีวิต คาถานี้ชื่อว่า
"อาฏานาฏิยสูตร"
ใช้สวดเวลาเดินทางหรือปฏิบัติธรรมในป่าเปลี่ยว
-
ท้าวเวสสุวรรณ (หัวหน้ายักษ์ ทิศเหนือ)
-
ท้าวธตรฐ (หัวหน้าคนธรรพ์ ทิศตะวันออก)
-
ท้าววิรูปัก (หัวหน้านาค ทิศตะวันตก)
-
วิรุฬหก (หัวหน้ากุมภัณฑ์ (ยักษ์อ้วน) ทิศใต้)
พระพุทธเจ้ารับคาถาแล้วให้ภิกษุทั้งหลายท่องจำไว้
...................
ไตรภูมิ สวรรค์ 6 ชั้น
๑. จตุมหาราชิกา (สวรรค์
ชั้นที่ ๑)
เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า มีท้าวมหาราช ๔ พระองค์ปกครอง คือ ท้าวธตรัฐมหาราช ท้าววิรุฬหกมหาราช ท้าววิรูปักษ์มหาราช
ท้าวเวสสุวัณมหาราช (ท้าวกุเวร) อายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ (๙ ล้านปีมนุษย์)
บุรพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์ ชอบทำความดี สันโดษ ยินดีแต่ของๆ ตน
ชักชวนให้ผู้อื่นประกอบการกุศล ชอบให้ทาน ในการให้ทานเป็นผู้มีความหวังให้ทาน
มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราตายแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้”
และเป็นผู้มีศีล ฯลฯ
๒. ดาวดึงส์ (สวรรค์ ชั้นที่
๒)
ที่เรียกว่าไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์ เป็นเมืองใหญ่มี ๑,๐๐๐ประตู
มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์ มีไม้ทิพย์ ชื่อ ปาริชาตกัลปพฤกษ์
สมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ (๓๖
ล้านปีมนุษย์)
บุรพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ยินดีในการบริจาคทาน ในการให้ทาน
เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้
ไม่มีการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “ตายแล้วเราจักได้เสวยผลทานนี้”
แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทำดี”
งดงามด้วยพยายามรักษาศีล ไม่ดูหมิ่นผู้ใหญ่ในตระกูล ฯลฯ
๓. ยามา (สวรรค์ ชั้นที่ ๓)เป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์
มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ (๑๔๔
ล้านปีมนุษย์)
บุรพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ พยามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบำเพ็ญบุญกุศล
ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทำที่ดี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี” รักษาศีล
มีจิตขวนขวายในพระธรรม ทำความดีด้วยใจจริง
๔. ดุสิต (สวรรค์ ชั้นที่ ๔)เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นเป็นนิจ
มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ (๕๗๖
ล้านปีมนุษย์)
บุรพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดีมากในการบริจาคทาน ในการให้ทานเป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้
เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า
“เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน
เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร”
ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนา หรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก
ฯลฯ
๕. นิมมานรตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๕)เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์
ซึ่งเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจ มีท้าวสุนิมมิตเทวราชปกครอง อายุ ๘,๐๐๐
ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)
บุรพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตใจบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน
ในการให้ทานเป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้
ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทาน ด้วยความคิดว่า “เราหุงหากินได้
แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้
จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักจำแนกแจกท่านเช่นเดียวกับฤๅษีทั้งหลายในกาลก่อน”
ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยามรักษาศีลไม่ให้ขาดได้ มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล
และมีวิริยะอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทาน
และศีลอันสูงเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
๖. ปรนิมมิตวสวัตตี (สวรรค์
ชั้นที่ ๖)เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์
แบ่งเป็น ฝ่ายเทพยดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราช ปกครอง กับ
ฝ่ายมารมีท้าวปรนิมิตวสวัตตีมาราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐
ปีทิพย์ (๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์)
บุรพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฏ์
อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบำเพ็ญกันอย่างจริงๆ
มากไปด้วยความศรัทธาปสาทะอย่างยิ่งยวดถูกต้อง ในการให้ทาน
เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไมได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน
เช่นเดียวกับฤๅษีทั้งหลายแต่กาลก่อน” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า
“เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส
จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส” เพราะวิบากแห่งทาน
และศีลอันสูงส่งยิ่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
…………………
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นต่ำสุด
ตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคันธร สวรรค์ชั้นแรกอยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป ๔๖,๐๐๐
โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ ๔พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองดูแล
จึงได้ชื่อว่า จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ
มีท้าวจาตุมหาราชทรงเป็นใหญ่ มีเทพนครใหญ่อยู่ ๔ เทพนคร
แต่ละเทพนครมีกำแพงทองเหลืองอร่าม ประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ แลดูงามนักหนา
บานประตูกำแพงนั้นแล้วไปด้วยแก้ว
และมีปราสาทซึ่งรุ่งเรืองสวยงามอยู่เหนือประตูทุกประตู
ภายในเทพนครอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้วอันเป็นวิมานที่อยู่ของชาวฟ้าเทพยดาทั้งหลายปรากฏอยู่มากมาย
พื้นเป็นพื้นแผ่นทองคำมีสีเหลืองอร่ามรุ่งเรืองเลื่อมพรรณราย
ราบดุจหน้ากลองและอ่อนนุ่มดุจฟูกผ้า
เมื่อฝูงเทพยดาเหยียบลงไปก็อ่อนยุบลงแล้วก็เต็มขึ้นมาดุจเดิม
มิได้เห็นรอยเท้ารอยบาทของเทพยดานั้นเลย นอกจากนี้
ยังมีสระโบกขรณีมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยปทุมชาติดาษดานานาชนิด
ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณเป็นเหมือนเช่นใครแสร้งเอาน้ำอบน้ำ
หอมไปพรมไว้ มีดอกไม้นานาพรรณ สีสันวิจิตรตระการ และมีต้นไม้สวรรค์ประเสริฐนักหนา
ด้วยมี ผลโอชารสอันยิ่ง ทุมามิ่งไม้ในสวรรค์นั้น
ย่อมมีดอกมีผลอันเป็นทิพย์ให้ทวยเทพได้ชื่นชมอยู่ตลอดกาล
ไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาแบ่งตามสถานที่อยู่อาศัยได้
๓ ประเภท
๑.
ภุมมัฏฐเทวดา
อยู่บนพื้นแผ่นดิน
อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น บ้าน วัด เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู ภูเขา แม่น้ำ
มหาสมุทร เป็นต้น เทวดาบางองค์ก็มีวิมานของตนอยู่ ณ ที่นั้น ๆ
โดยเฉพาะองค์ใดไม่มีก็ถือเอาสถานที่นั้นเป็นที่อาศัย เช่น บ้าน วัด ศาลา ภูเขา
แม่น้ำนั้นเป็นที่อยู่ของตน
๒.
รุกขัฏฐเทวดา
อยู่บนต้นไม้
มี ๒ จำพวก พวกหนึ่งมีวิมานอยู่บนต้นไม้ อีกพวกหนึ่งอยู่บนต้นไม้แต่ไม่มีวิมาน
๓.
อากาสัฏฐเทวดา
อยู่ในอากาศ
เทวดาจำพวกนี้มีวิมานเป็นของตนเองลอยหมุนเวียนไปรอบ ๆ เขาสิเนรุ
แต่ละวิมานประกอบไปด้วยรัตนะ ๗ อย่าง คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี
แก้ววิเชียร เงิน ทอง ไม่เท่ากัน บางวิมานมีเพียง ๑-๒ รัตนะ บางวิมานก็มีมาก
สุดแต่บุญกุศลที่ตนได้เคยสร้างเอาไว้
เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา
บางพวกก็ขาดเมตตาธรรม จัดเป็นพวกเทวดาใจร้าย มี ๔ จำพวก คือ
๑. คันธัพพี คันธัพโพ
ได้แก่
เทวดาคันธัพพะ ที่ถือกำเนิดภายในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม เรา เรียกกันว่านางไม้
หรือแม่ย่านาง ชอบรบกวนให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ให้ เกิดเจ็บป่วย
หรือทำอันตรายแก่ทรัพย์สมบัติที่นำไม้นั้นมาใช้สอย หรือนำมาปลูกบ้านเรือน
เทวดาจำพวกนี้อยู่ในความปกครองของ ท้าวธตรัฏฐะ คันธัพพเทวดานี้ สิงอยู่ในต้นไม้นั้นตลอดไป
แม้ว่าใครจะตัดฟันไป ทำเรือ แพ บ้าน เรือน หรือเครื่องใช้สอยอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็คงสิงอยู่ในไม้นั้น ซึ่งผิดกับรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้
ถ้าต้นไม้นั้นตายหรือถูกตัดฟัน ก็ย้ายจากต้นไม้นั้นไปต้นไม้อื่น
๒. กุมภัณโฑ กุมภัณฑี
ได้แก่
เทวดากุมภัณฑ์ ที่เราเรียกว่า รากษส เป็นเทวดาที่รักษา สมบัติต่าง ๆ มี แก้วมณี
เป็นต้น และรักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามีผู้ล่วงล้ำ ก้ำเกินก็ให้โทษต่าง ๆ
เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าววิรุฬหก
๓. นาโค นาคี
ได้แก่
พวก เทวดานาค จะมีวิชาเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาต่าง ๆ ขณะท่องเที่ยวไปในมนุษยโลก
บางทีก็เนรมิตเป็นคน หรือเป็นสัตว์ เช่น เสือ ราชสีห์ เป็นต้น
โดยเฉพาะชอบลงโทษพวกสัตว์นรก เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าววิรูปักขะ
๔. ยักโข ยักขี
ได้แก่
พวก เทวดายักษ์ จะพอใจในการเบียดเบียนสัตว์นรก เทวดา จำพวกนี้
อยู่ในความปกครองของท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เทวดาทั้ง ๔ จำพวกนี้
จะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เพราะอยู่ใกล้ชิดกับมนุษยภูมิ
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
จำแนกย่อยพื้นที่บริเวณของหมู่เทพละเอียดลงไปอีก
ตามขั้นตอนการถือกำเนิดเอาไว้ดังนี้
อุปัตติเทพ
เหล่าสัตว์ทั้งหลาย
บรรดาที่ได้ก่อสร้างบุญกุศลเอาไว้ บุญกุศลนั้นก็จะนำส่งให้มาอุบัติเกิดในโลกสวรรค์
และเมื่อจะเกิดนั้น ก็เป็นอุบัติเทพ ไม่ต้องนอนในครรภ์มารอ หรืออยู่ในฟองไข่เหมือนเช่นมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายอุบัติเกิดขึ้น
มีรูปร่างเป็นทิพย์ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวเป็นเทพบุตรเทพธิดาเลยทีเดียว
เมื่ออุบัติเกิดขึ้นในเทวโลกแล้ว จะตั้งอยู่ใน ฐานะอะไร ก็แล้วแต่สถานที่ซึ่งตน
อุบัติขึ้น คือ
- ถัามีบุญน้อยไม่สามารถจะมีวิมานของตนเองได้
ไปอุบัติขึ้นที่ตักของเทวดาองค์ใด
ก็ตั้งอยู่ในูฐานะเป็นบุตรเป็นธิดาของเทวดาองค์นั้น
- ถ้าเป็นสตรีทำบุญไว้
ตายแล้วไปอุบัติบังเกิดขึ้นเหนือแท่นที่บรรทมของเทพองค์ใด ก็ต้องเป็นบาทบริจาริกาของเทพองค์นั้น
- ถ้ามีบุญกุศลสร้างไว้น้อย
มีวาสนาจะได้เป็นเพียงพนักงานตกแต่งประดับประดาอาภรณ์วิภูษิต
เครื่องต้นเครื่องทรงของเทพองค์ใด ย่อมอุบัติเกิด ณ ที่ใกล้ๆ ที่บรรทมของเทพผู้
จะเป็นนาย
- ถ้ามีวาสนาจะได้เป็นเพียงเทวดาประเภทรับใช้
เป็นบริวารของเทพผู้มีงเทพผู้มีบุญองค์ใด
ก็ย่อมไปอุบัติเกิดภายในบริเวณปราสาทวิมานของเทพผู้จะเป็นนายองค์นั้น
- บาดาล คือ ภพที่ใกล้มนุษย์มากที่สุด มีลักษณะเป็นงูต่าง ๆ
- ภูมะ คือ ที่อยู่ของภูมิเจ้าที่ต่าง ๆ
- รุกขภูมิ คือ ภูมิที่อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปเพียงศอกเดียว
มีวิมานอยู่บนต้นไม้
- ฉิมพลีภูมิ คือ ดินแดนแห่งเทพผู้มีปีก กึ่งเทพ กึ่งสัตว์ มีฤทธิ์มาก
- คนธรรพ์ภูมิ คือ ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก
- หิมพานต์ คือ ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก
- บรรพภูมิ คือ ดินแดน แห่งฤาษีผู้บำเพ็ญพรต ที่หลบลี้จากโลกมนุษย์
- อโยธยาภูมิ คือ ภูมิของผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน เช่น พ่อหลักเมือง
- ลับแลภูมิ คือ ภูมิของหญิงสาวที่บำเพ็ญเพียร ถือสัจจะเป็นหลัก
- ภุมมา คือ ที่สถิตของเทพบุตร เทพธิดาต่างๆ ที่ยังมีกิเลศ
เป็นภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษย์ภูมิขึ้นไป มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ ๔ องค์
เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล มีหน้าที่สอดส่องดูมนุษย์ที่ประกอบผลบุญแล้วรายงานต่อพระอินทร์
เพื่อให้ได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์ มีสถานที่ปกครองตั้งแต่กลางเขาสิเนรุ
ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาล ได้แก่
๑.
ธตรฐมหาราช
เทพนครอันสวยสดงดงามซึ่งตั้งอยู่ ณ
ทิศตะวันออกแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้มีเทวาผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า
ท้าวธตรฐมหาราชเป็นจอมเทพผู้ปกครอง ท้าวเธอเป็นมหาราช มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมีมาก
เทวาที่อุบัติเป็นบุตรของพระองค์ก็มีมากมาย ล้วนแต่มีกำลังมาก มีฤทธิ์มีอานุภาพ
มีรัศมี มียศเป็นอันมาก พระองค์ทรงเป็นอธิบดี เป็นใหญ่ ทรงปกครองทวยเทพเทวาในเทพนครด้านทิศบูรพา
ณ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้โดยธรรม
ซึ่งเป็นผลให้เทวดาทั้งหลายได้รับความสุขสำราญทุกวันคืน
นอกจากจะทรงเป็นจอมเทพปกครองเทพบริวารในเทพนครทิศบูรพาดังกล่าวแล้ว
ท้าวธตรฐมหาราชยังทรงเป็นอธิบดีปกครองหมู่คนธรรพ์อีกด้วยคนธรรพ์เป็นเทวาพวกหนึ่งซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้
มีความถนัดในการดนตรีศิลปะระบำรำฟ้อนและชำนาญในเพลงขับเป็นยิ่งนัก
มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในหมู่เทวดาทั้งหลาย เช่น คนธรรพ์เทพบุตรผู้หนึ่ง
ซึ่งมีนามว่าสุธรรมา ชำนาญในการตีกลองประจำตัวอันมีชื่อว่า สุรันธะ และคนธรรพ์เทพบุตรอีกผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่า
พิมพสุรกะ ชำนาญในการตีกลองหน้าเดียว เมื่อเขาทั้งสองตีกลองด้วยเพลงคนธรรพ์
ย่อมปรากฏว่ามีความไพเราะเสนาะโสตเหล่าเทพยดานักหนา ไม่ว่าจะมีเทวสันนิบาต
กาประชุมเพื่อความสนุกสนานเบิกบานของเหล่าเทพเทวาทั้งหลายในที่ใดย่อมจะมีฝูงคนธรรพ์ทั้งหลายไปร่วมด้วย
โดยทำหน้าที่เป็นผู้ขับกล่อม
และจับระบำรำฟ้อนให้ปวงเทพได้รับความสุขเริงสราญชื่นบานในการดนตรี
บางทีก็มีเทพนารีเข้าร่วมด้วย
เป็นการเพิ่มความสนุกสนานให้เกิดแก่เหล่าเทวดามากยิ่งขึ้น แม้แต่องค์
อมรินทร์ท้าวสักกเทวราชซึ่งเป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์
ก็ยังทรงมีพระทัยโปรดปราน ตรัสสั่งให้
หมู่คนธรรพ์ไปร่วมงานเทวสันนิบาตเช่นนี้เสมอมิขาดสักคราเลย
๒. วิรุฬหกมหาราช
เทพนครอันรุ่งเรืองไปด้วยรัศมีแห่งทวยเทพสวยสดสุดพรรณนา
ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชกาภูมิด้านทิศใต้ มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า
ท้าววิรุฬหกมหาราช เป็นจอมเทพผู้ปกครอง พระองค์ทรงเป็นมหาราชมีบุญญานุภาพมาก
มีรัศมี มียศเป็นอันมาก เทพยดาที่อุบัติเกิดเป็นบุตรของพระองค์ก็มีมากมาย
ล้วนแต่มีกำลัง มีฤทธิ์มาก ทั้งนี้ ก็เพราะพระองค์เป็นจอมเทพผู้มีบุญญาธิการ
ทรงปกครองบริวาร ในด้านทักษิณแห่งจาตุมหาราชิกาสวรรค์นี้ โดยผาสุก
ท้าววิรุฬหกมหาราชพระองค์นี้ นอกจากจะเป็นจอมเทพปกครองทวยเทพผู้เป็นบริวารของตน
ในเทพนครด้านทิศทักษิณแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นอธิบดีของพวก กุมภัณฑ์ อีกด้วย
กุมภัณฑ์ เป็นยักษ์พวกหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาดพิกล คือ มีท้องใหญ่
นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์พิเศษ ที่สังเกตได้ง่ายก็คือ มีร่างกายสูงใหญู่มหึมา
และมีท่าทางดุร้าย กับทั้งมีอัณฑะเหมือนหม้อฉะนั้น พวกเขาจึงได้นามว่า กุมภัณฑ์
ซึ่งแปลว่า เหล่าสัตว์ที่มีอัณฑะเหมือนหม้อ พวกกุมภัณฑ์ณี
มีความเคารพเกรงกลัวต่อท้าววิรุฬหกมหาราช ผู้เป็นเจ้านายของตนยิ่งนัก
๓. วิรูปักษ์มหาราช
เทพนครที่ปรากฏในทิศตะวันตกของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานี้
ก็มีลักษณะและความสวยสดงดงามเช่นเดียวกับเทพนครที่ตั้งอยู่ในทิศอื่นๆ
เทวาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งครองเทพนครนี้ ทรงพระนามว่า ท้าววิรูปักษ์มหาราช
พระองค์ทรงมีบุญญานุภาพมาก รัศมีสดใส
มียศเป็นอันมากเทพยดาที่อุบัติบังเกิดเป็นบุตรของพระองค์ก็มีมากมาย
ต่างก็ล้วนมีกำลัง มีฤทธิ์มากทั้งนั้น
พระองค์เป็นจอมเทพปกครองเทพบริวารในด้านทิศตะวันตกแห่งจาตุมหาราชิกาภูมินี้
โดยผาสุกทุกทิพาราตรี ท้าววิรูปักษ์มหาราชพระองค์นี้
นอกจากจะเป็นจอมเทพปกครองทวยเทวาผู้เป็นบริวารของตนในเทพนครด้านปัจฉิมทิศแล้ว
พระองค์ยังทรงเป็นอธิบดีของพวกนาคอีกด้วย พวกนาคนี้มีฤทธิ์มาก
พิษแห่งนาคทั้งหลายมีฤทธิ์กล้า
อาจตัดเอาผิวหนังแห่งบุคคลให้ถึงแก่ความตายในพริบตาเหมือนกับคมดาบ
และเหล่านาคย่อมรู้ จักนฤมิตตนได้ เมื่อจะเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ
บางคราวย่อมนฤมิตตนเป็นงู บางคราวก็เป็นเพศเทวดา บางคราวก็นฤมิตเพศเป็นกระแต
เที่ยวไปในราวไพรโดยสุขสำราญ
๔. เวสสุวัณมหาราช
เทพนครอันรุ่งเรืองสวยงาม ซึ่งปรากฏในด้านทิศอุดรคือ
ทิศเหนือของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ มีเทวาผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า
ท้าวเวสสุวัณเป็นจอมเทพผู้ปกครอง ท้าวเธอเป็นมหาราชมีบุญูญานุภาพมาก
มีรัศมีมากมียศมาก แม้เทวดาที่อุบัติเกิดเป็นบุตรของพระองค์ก็มีมาก
แต่ละพระองค์ล้วนแต่มีกำลัง มีฤทธิ์ มีรัศมี มีอานุภาพมาก
ท้าวเวสสุวัณทรงเป็นจอมเทพปกครองหมู่เทวาที่เป็นบริวารของตนอยู่ในเทพนครด้านทิศอุดรแห่งจาตุมหาราชิกาสวรรค์นี้โดยสุขสำราญ
ท้าวมหาราชองค์นี้ ยังมีพระนามปรากฏอีกนามหนึ่งว่า ท้าวกุเวร ฉะนั้นพึงทราบว่า
ท้าวเวสสุวัณหรือท้าวกุเวรเป็นเทพองค์เดียวกัน คือ
ท่านที่ปกครองเทพนครด้านทิศอุดรในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้นอกจากพระองค์จะปกครองทวยเทพในทิศดังกล่าวแล้ว
พระองค์ยังทรงเป็นอธิบดีปกครองพวกยักษ์อีกด้วย
หากว่าไม่ได้ไปอุบัติเกิดในบริเวณวิมานทิพย์ของเทพองค์ใดทั้งนั้น
แต่อุบัติเกิดในที่ว่างระหว่างแดนต่อแดน
ไม่ทราบว่าจะเป็นบริวารของเทพผู้เป็นเจ้าของวิมานไหน ในกรณีนี้ องค์เทพผู้
ทรงเป็นอธิบดียิ่งใหญ่กว่าฝูงเทพทั้งปวงในเมืองนั้นย่อมจะเสด็จมาเป็นผู้พิพากษาตัดสิน
วิธีพิพากษาของพระองค์ท่านก็คือ หากเทวดาที่เกิดใหม่นั้น
เกิดใกล้วิมานของเทพองค์ใด ก็ทรงตัดสินให้เป็นบริวารของเทพองค์นั้น
หากว่าอนุมานดูแล้ว สถานที่อุบัติเกิดนั้นกึงกลางพอดี
ก็ต้องดูที่หน้าของเทพที่เกิดใหม่ หากว่าหันหน้าเล็งแลไปทางวิมานของเทพองค์ใด
พระองค์ก็ตัดสินให้เป็นบริวารของเทพองค์นั้น ถ้าว่าเทวดาผู้เกิดใหม่นั้น
ไม่แลดูวิมานของเทพองค์ใดเลย เฉยอยู่เช่นนั้น
ท่านอธิบดีผู้พิพากษายิ่งใหญ่กว่าเทวดาทั้งปวง
ก็ทรงตัดสินเอาเป็นบริวารของพระองค์เองทั้งนี้ เพื่อเป็นการตัดปัญหาเสีย
ถ้าได้เคยสร้างบุญูกุศลไว้มากพอ
ก็ไปอุบัติบังเกิดในวิมานของตนเองเพราะว่ามีวิมานคอยต้อนรับอยู่แล้วพร้อมกับบริวาร
ไม่ต้องเป็นบุตรธิดาหรือเทวดารับใช้ของผู้ใด เป็นอยู่อย่างอิสระเสรี
เสวยสุขอยู่ในเมืองแมนแดนสวรรค์นั้นเมื่อจะกล่าวถึงชีวะความเป็นอยู่ ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีสรีระร่างกายเป็นทิพย์
มีรูปโฉมโนมพรรณสวยงามนักหนา กายาเนื้อตัวบริสุทธิ์
ละอาดปราศ-จากมลทินโทษด้วยประการทั้งปวง
จะได้มีกลิ่นเหม็นและกลิ่นร้ายในกายของเขาเช่นมนุษย์เรานี้
แม้แต่ลักนิดหนึ่งเป็นไม่มีเลย และเขาย่อมจะเนรมิตกายใหัใหญ่โต หรือเล็กเท่าใดก็ได้ตามจิตปรารถนา
เพราะกายาของเขาเป็นทิพย์ เทวดาซึงมีจำนวน ๒๐-๘๐ องค์
อาจจะเนรมิตตนลงให้อยู่ในลถานที่เล็กน้อยประมาณเท่าปลายเส้นผมก็ย่อมทำได้
ในข้อนี้พึงเห็นตัวอย่าง เช่น
กาลเมื่อฝูงเทพยดาทั้งหลายพากันมาเฝ้าสมเด็จพระบรมโลกนาถเจ้าองค์พระชินสีห์
บางทีมากันมากตั้งแสนโกฏิเพื่อลดับพระธรรมเทศนา ถ้าว่าเมื่อไม่เนรมิตกายแล้วไซร้
เขาจักได้ที่ ๆ ไหนเป็นที่ฟังธรรมเล่า ฉะนั้น เขาจึงพากันเนรมิตกายลงให้เล็กนักหนา
แล้วตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาได้โดยสะดวกง่ายดาย
ฝูงเทพยดาทั้งหลายย่อมบริโภคสุธาโภชนาหารอันเป็นทิพย์ทุกวารวันสุธาโภชนาหารนั้นย่อมแห้งเหือดหายไปในกายของเขาจนหมดสิ้นจะได้มีมูตรคูถมีกลิ่นเหม็นรัายกาจเช่นมนุษยชาติก็หาไม่
ตราบใดที่ยังเป็นเทพอยู่ในสรวงสวรรค์ อุปัทวันตรายอันเกิดแต่โรคภัยไข้เจ็บ
ย่อมจะไม่มาเบียดเบียนบีฑาแม้แต่นิดหนึ่งเลย เขาย่อมเป็นอยู่อย่างสุขสำราญ ชื่นบาน
นักหนา และทรงผ้าผ่อนเครื่องประดับอลังการอันเป็นทิพย์ มีรัศมีรุ่งเรืองส่องสว่าง
ก็ผัาทิพย์ภูษาที่เทวดาทั้งหลายนุ่งห่มนั้น
อย่าพลันเข้าใจว่าเป็นผ้าอย่างเมืองมนุษย์ โดยที่แท้
ผ้าของเขาเป็นผ้าทิพย์ผืนเล็กนิดเดียว มีปริมาณเท่าดอกปีบเท่านั้น ครั้นเขาคลี่ออกจะนุ่งห่มนั้น
กลับพลันใหญู่ยาวและกว้างพอแก่ร่างกายของเทพยดาผู้เป็นเจ้าของ รัศมีทั้งผอง คือ
รัศมีแห่งอาภรณ์วิภูษิตต่างๆ ก็ดี รัศมีแห่งวิมานที่สถิตอยู่ก็ดี
รัศมีแห่งกายตัวเทพยดาเองก็ดี ย่อมส่องสว่างรุ่งเรืองนักหนา
เมื่อเทวดามากต่อมากต่างก็มีรัศมีรุ่งเรืองส่องสว่างเช่นนี้
ราตรีค่ำคืนอันมืดมัวในสวรรค์เทวโลกจืงไม่มีเหมือนอย่างมนุษยโลก
มีแต่ทิวาวารปรากฏเป็นดุจกลางวันอยู่เป็นนิจกาลไม่มีกิจด้วยการตามประทีปแสงไฟน้อยใหญ
ให้เหนื่อยยากก็สว่างไสวไปเอง
ด้วยอำนาจแห่งรัศมีเงินทองแก้วเก้าเนาวรัตน์อันเป็นทิพย์ซึ่งเกิดจากบุญูญูานุภาพที่เทพยดาทั้งหลายได้พากันสร้างสมอบรมมาแต่ปางบรรพ์
ชีวิตความเป็นอยู่ที่พรรณนามานี้
เป็นการกล่าวถึงทวยเทพที่สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์จาตุมหาราชิกาภูมิชั้นสูง นอกจากนี้
ยังมีเหล่าเทพยดาชั้นต่ำที่นับเนื่องในสวรรค์ชันนี้ ซึ่งมีอยู่ในสถานที่ต่างๆ
อีกมากมาย เช่น เทวดาบางพวกมี วิมานอยู่บนยอดเขา
บางพวกมีวิมานอยู่ที่แง่ภูเขาบรรพต บางพวกมีวิมานอยู่บนอากาศ
บางพวกมีวิมานอยู่บนต้นไม้
อายุ ทวยเทพที่สถิตอยู่ ณ
สรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ มีอายุได้ ๕๐๐ ปีทิพย์ นับได้เก้าล้านปี
ด้วยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลกเรานี้ บุรพกรรม
ผู้ที่จะมาอุบัติเกิดเป็นเทพยดาเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นนี โดยมากเมื่อเป็นมนุษย์
เขาเป็นคนมีจิตบริสุทธิ์ พยายามหาความดีใส่ตน สนฺตุฏโฐเป็นคนสันโดษยินดีแต่ของ ๆ
ตน เป็นหัวหน้าชักชวนคนทั้งหลายให้ประกอบการอันเป็นบุญกุศล ครั้นแตกกายวายชนม์
กุศลกรรมจึงนำมาให้อุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ตามปรารถนา
ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ทานสูตร
ในการให้ทานนั้น
บุคคลมีความหวัง ให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการ สั่งสมทาน
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้ เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึง ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช
…………………………………………..
เราไม่ได้ทำความดี ถึงจะขอของดีมันก็ไม่ได้ดี
พระพุทธองค์ท่านสอนว่า
“ความดีของเราก็คือ กาย วาจา ใจ รักษามัน แต่งปรับปรุงมัน
ปฏิบัติให้มันดีงามขึ้น มันก็ดีอยู่ในที่นั้น
ไม่ใช่ของดีจะไปขอเอากับพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็ให้ของดีเราไม่ได้ นอกจากท่านสอนให้ทำ ให้ทำเอา ให้ละอย่างนั้น
ปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็ไปปฏิบัติเอา
มันก็ได้
มันก็ดีขึ้นมา ไม่ใช่ว่าของดีอยู่กับพระพุทธเจ้า
ของดีที่อยู่กับพระพุทธเจ้าก็เป็นของดีที่อยู่กับพระองค์
จะไปขอเอากับท่านไม่ได้ เราจะต้องปฏิบัติเอา ผลที่สุดแล้วความดีก็จะอยู่กับเรา
แต่ถ้าเราไม่สร้างความดีที่ถูกต้องขึ้น
มันก็ดีขึ้นไม่ได้ ไม่ปรากฏขึ้นได้ความดีมีอยู่ทั่วไปในสกลกายของเรา
สร้างขึ้นปฏิบัติขึ้น พวกเราจึงได้มาปฏิบัติเป็นกลุ่มขึ้นเพื่อฟังธรรม
เพื่อจะได้รู้จักว่าของดีเป็นอย่างไร ของดีอยู่ที่ไหน? ทำอย่างไรถึงจะได้?
เพื่อเราจะได้รู้จักอย่างแน่นอน
ถ้ารู้จักแน่นอนแล้วของดีก็อยู่กับตัวเรา
...หลวงพ่อชา
สุภัทโท...
.....................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น